สฟิงซ์ แมวพันธุ์สฟิงซ์เป็นแมวที่มีขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ เป็นแมวที่มีกล้ามเนื้อและน้ำหนักค่อนข้างมาก หูมีขนาดใหญ่และกว้างคล้ายกับหูของค้างคาว ดวงตากลมและกว้างมีรูปร่างเหมือนเลม่อน ด้วยลักษณะของดวงตาทำให้แมวสฟิงซ์น่าเข้าหาและมีความเป็นกันเอง ดวงตาของแมวไม่มีสีที่แน่ชัดสามารถมีได้หลายสี ในแมวมีโหนกแก้มที่เด่นชัดจะทำให้นึกถึงแมวอียิปต์ในตำนาน
ที่มา https://www.vetbasket.com/sphinx/
ไม่ใช่แมวสายพันธุ์สฟิงซ์ทุกตัวจะไม่มีขน ผิวหนังของแมวมักถูกคลุมไว้ด้วยเยื่อบางๆ ที่สามารถรู้สึกได้จากการสัมผัสหรืออาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เนื่องจากเยื่อบางๆ นี้ทำให้ผิวหนังของแมวสายพันธุ์สฟิงซ์มีความอุ่นและนิ่ม มองจากไกลๆ หรือหากดู
ภายในรูปจะไม่สามารถมองเห็นขนบางๆ นี้ได้ อีกลักษณะที่สามารถพบได้ในแมวสายพันธุ์นี้ คือ การมีรอยย่นตรงบริเวณ
หัวไหล่ ระหว่างหูทั้งสองข้างและบริเวณปลายจมูก รอยย่นนั้นไม่ได้พบเพียงแมวพันธุ์สฟิงซ์ เท่านั้นแต่สามารถพบในแมวพันธุ์
อื่นได้เช่นกัน แต่มักเห็นในแมวพันธุ์สฟิงซ์ เนื่องจากเป็นแมวที่ไม่มีขน ลักษณะเด่นที่ผิวหนังจะมีความคล้ายกับลักษณะที่มีอยู่
บนขน โดยลักษณะที่ทำให้เป็นแมวพันธุ์สฟิงซ์ นั้นคือการไม่มีขน ดังนั้นแมวพันธุ์สฟิงซ์ จะไม่พบลักษณะเด่นหรือสีขนใดๆ ยกเว้นแต่จะมีการระบุถึงสีหรือรูปแบบที่กำหนดไว้ว่าเป็นลักษณะของแมวพันธุ์ สฟิงซ์
ที่มา https://www.vetbasket.com/sphinx/
ประวัติ
ลักษณะความผิดปกติของการไม่มีขนของแมวสายพันธุ์สฟิงซ์นั้นอาจเกิดมาจากการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ในหนังสือเรื่อง ”The Book of the Cat” เดอะบุคออฟเดอะแคท ที่ถูกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1903 จะอ้างถึงแมวคู่หนึ่งที่ไม่มีขนที่เรียกว่า Mexican Hairless และต่อมามีการกล่าวถึงแมวสายพันธุ์วิเชียรมาศที่ออกลูกมาเป็นลูกแมวไม่มีขนในปี 1950 ในเมืองปารีส แม้ว่าจะมี
การผสมซ้ำแต่ก็ยังได้ลูกที่ไม่มีขนเช่นเดิม แต่ถ้าหากผสมกับแมวสายพันธุ์วิเชียรมาศตัวอื่นจะได้ลูกที่มีขนปกติ
ทำการผสมกับลูกแมวที่ไม่มีขนอีกตัวชื่อ Dermis และได้ขายให้แก่ผู้ปรับปรุงพันธ์ุ Kim Mueske ภายในฟาร์มที่ชื่อว่า Jezabelle จากนั้นลูกแมวตัวนี้ที่ชื่อว่า Epidermis ขนสั้นได้ทำการผสมและได้ลูกที่ไม่มีขนออกมาทำให้แมวสายพันธุ์สฟิงซ์คงอยู่จนถึงปัจจุบัน ประวัติของแมวสฟิงซ์ที่คุ้นเคย
เริ่มขึ้นในปี 1975 เจ้าของฟาร์ม ในรัฐมินนิโซตา ชื่อว่า Milt และ Ethelyn Pearson เจอลูกแมวที่ไม่มีขนเกิดจากแมวที่เลี้ยงอยู่ ตัวอย่างแมวที่ไม่มีขนอื่นถูกค้นพบที่ประเทศโมรอกโค ออสเตเรีย นอท แคโรลินา และแคนาดา ในปี 1966 มีแมวพื้นเมือง
ในปี 1978 ผู้ปรับปรุงสายพันธ์ุแมววิเชียรมาศ ชื่อ Shirley Smith พบเจอลูกแมวสองตัวที่ไม่มีขนอยู่ที่ถนนของหมู่บ้านข้างเคียง แม้ว่าแมวที่ได้จากการผสมนี้จะไม่ใช่แมวสายพันธุ์สฟิงซ์ที่รู้จักกันในปัจจุบันเนื่องจากการผสมระหว่างแมวสายพันธุ์สฟิงซ์และแมว Devon Rex จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม และทำให้ไม่เป็นที่ตื่นตาตื่นใจในวงการปรับปรุงพันธุ์มากนัก โดยลูกแมวสองตัวนี้นั้นมาจาก Dr. Hugo Hernandez ที่ผสมกับแมวขาวพันธ์ุ Devon Rex ชื่อ Curare van Jetrophin
นักปรับปรุงพันธุ์ชาวยุโรปและอเมริกาเหนือได้มีการวางแผนปรับปรุงพันธุ์แมวสายพันธุ์สฟิงซ์ โดยจะเลือกลูกแมวที่มีลักษณะ
ทางกายภาพและทางด้านอารมณ์ที่เหมาะสมต่อการนำมาพัฒนาสายพันธุ์ซึ่งการปรับปรุงครั้งนี้ทำให้ได้สายพันธุ์ที่แข็งแรง
ในปี 2002 สมาคม Cat Fanciers Association ยอมรับให้แมวสฟิงซ์เข้าทำการแข่งขัน Championship class และในปี 2006 Rebekah Lewis เจ้าของ Majikmoon Will Silver With Age Rebekah Lewis ชนะการแข่งขัน CFA ในปีนั้น และในปี 2007 Enchantdlair NWA Cornflake Girl ชนะรางวัลลูกแมวประจำปี
จากที่ได้กล่าวไปข้างต้น แมวพันธุ์ Devon Rex ไม่นิยมนำมาผสมกับแมวสายพันธุ์สฟิงซ์เนื่องจากจะทำให้เกิดความผิดปกติ
ของพันธุกรรมได้ แต่จะทำการผสมนอกสายพันธุ์กับแมวพันธุ์American Shorthair จนถึงปี 2010 และหลังจากนั้นจะทำการ
ผสมในระดับสายพันธุ์ต่อมา
ที่มา https://www.vetbasket.com/sphinx/
บุคคลิกภาพและอารมณ์
แมวพันธุ์ สฟิงซ์ เป็นแมวที่มีพลังงานมาก แต่มีความสามารถในการทรงตัวได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการปีนขึ้นไปบนชั้นวาง
หนังสือ ปีนขึ้นประตู หรือแม้จะเกาะอยู่บนไหล่ของมนุษย์เหมือนกับนกก็ทำได้ แมวพันธุ์สฟิงซ์ ยังเป็นแมวที่ต้องการความ
สนใจจากมนุษย์อีกด้วย แมวพันธุ์สฟิงซ์จะเป็นเหมือนตัวตลก คอยกระโดดและทำเรื่องหน้าอายอยู่เสมอ นอกจากนี้แมวยัง
เป็นสัตว์ขี้สงสัยและซุกซนพร้อมกับความฉลาดทำให้สามารถควบคุมได้ค่อนข้างง่าย เนื่องจากความขี้เล่นเป็นกันเองและ
สามารถควบคุมได้ง่ายทำให้ แมวพันธุ์สฟิงซ์นั้นมักถูกจัดแสดง แมวพันธุ์นี้ควรเป็นแมวที่เลี้ยงอยู่ภายในเนื่องจากสิ่งสวยงาม
ด้านนอกอาจเป็นอันตรายแก่มันได้ นอกจากนี้แมวชนิดนี้ยังเป็นแมวที่มีความซื่อสัตย์และเป็นที่รักใคร่แก่เจ้าของมาก มันจะ
คอยเดินตามคุณเจ้าของทั่วบ้าน และวิ่งไล่งับหางตัวเอง แมวสฟิงซ์เป็นแมวที่ชอบเปิดเผยชอบที่จะได้ความสนใจจากเจ้าของและ
ไม่ชอบที่จะถูกเพิกเฉย อีกทั้งยังสามารถเข้าได้ดีกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ทั้งสุนัขและแมว
ที่มา https://www.vetbasket.com/sphinx/
สุขภาพและการดูแล
ถึงแม้ว่าแมวสายพันธุ์ สฟิงซ์ จะเป็นแมวที่ไม่มีขน แต่ก็จำเป็นที่จะต้อง มีการแปรงขน แมวปกติทั่วไปจะดูดซึมน้ำมันจาก
ร่างกายผ่านทางขน แต่เนื่องจากเจ้าแมวสายพันธุ์สฟิงซ์นั้นไม่มีขนทำให้ไม่สามารถเก็บน้ำมันไว้ได้ ส่งผลทำให้แมวมีปัญหา
ด้านผิวหนัง จนอาจทำให้เกิดโรคทางด้านผิวหนัง ถ้าหากไม่ทำการแปรงขน การอาบน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยกำจัดน้ำมันที่
ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อให้ผิวหนังของแมวมีสุขภาพดี อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระวัง คือ การหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด แสงแดดปริมาณ
น้อยๆ จะทำให้สีผิวหนังมีความเข้มขึ้น แต่ถ้าหากได้รับในปริมาณที่มากเกินอาจเกิดการไหม้ได้ เช่นเดียวกับผิวของมนุษย์
ที่มา https://www.vetbasket.com/sphinx/
แมวพันธุ์สฟิงซ์เป็นแมวที่มีความแข็งแรงและไม่มีภาวะโน้มนำความผิดปกติใดๆอย่างจำเพาะ แต่อาจพบปัญหาสุขภาพบาง
อย่างได้ ในคนที่มีภาวะภูมิแพ้ต่อสะเก็ดผิวหนังของแมวอาจทำการเลือกเลี้ยงแมวสฟิงซ์เป็นทางเลือกแทนที่จะเลี้ยงแมวมีขนฟู
ตัวอื่นๆ แต่ไม่มีแมวชนิดไหนที่เลี้ยงแล้วไม่เกิดการแพ้ เนื่องจากตัวแมวจะคอยผลิตน้ำมันที่มีผลต่อการแพ้ออกมา ในแมวสฟิงซ์
จะทำให้บางคนเกิดการแพ้มากเพราะได้รับปริมาณน้ำมันที่มากกว่าปกติ แต่ในทางกลับกัน บางคนที่มีภาวะภูมิแพ้พบว่าแมว
สฟิงซ์เป็นแมวที่เหมาะสมแก่พวกเขา เนื่องจากแมวสฟริงซ์มี 6 สิ่ง คนที่เป็นภูมิแพ้ควรที่จะทำการทดสอบการแพ้ต่อน้ำมันของ
แมวก่อนที่จะรับแมวมาเลี้ยง